บทที่ 21 เราแค่.. เอากวางมาขายเองนะ

เฟยเทียนบังคับเกวียนเข้ามาในเมืองและมุ่งหน้าไปยังเหลาอาหารหมื่นลี้ เมื่อมาถึงจุดรับซื้อของเสี่ยวเอ้อร์ที่ทำหน้าที่รับซื้อของจากชาวบ้าน รีบเดินมาต้อนรับทันที

“เชิญจอดเกวียนด้านนี้เลยขอรับ ไม่ทราบว่าท่านนำอะไรมาขายให้เหลาหมื่นลี้ของเราหรือขอรับ ขอข้าตรวจดูได้หรือไม่”

“ย่อมได้อยู่แล้ว เชิญเจ้ามาตรวจสอบดูได้”

เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นสิ่งที่อยู่บนเกวียนทันทีที่คนบนเกวียนยกเสื่อไม้ไผ่ออกเขาได้แต่ตกตะลึงตาค้าง ก่อนที่จะบอกให้เฟยเทียนเอาเสื่อไม้ไผ่คลุมกลับไปเช่นเดิมจากนั้นเขาก็กลับหลังหันวิ่งเข้าไปตามหลงจู๊ทันที

“นะ.. นะ นี่มัน กะ.. กะ กวางดาว ท่านช่วยเอาเสื้อคลุมเอาไว้ก่อนนะขอรับ ข้าจะไปตามหลงจู๊เดี๋ยวนี้”

เสี่ยวเอ้อร์วิ่งหน้าตั้งกลับเข้าไปด้านใน เพื่อไปตามหลงจู๊ของเหลาอาหารหมื่นลี้มาเป็นผู้เจรจาซื้อขายในครั้งนี้ เพราะตั้งแต่เขามาทำงานในตำแหน่งเสี่ยวเอ้อร์รับซื้อก็ไม่เคยมีใครเอากวางมาขายเลยสักครั้ง เขาเอง   ไม่สามารถตัดสินใจได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องให้หลงจู๊มาตัดสินใจด้วยตัวเอง

“หลงจู๊ขอรับ ท่านช่วยออกไปเจรจาที่จุดรับซื้อได้หรือไม่ขอรับ พอดีมีของที่ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้มาขายขอรับ”

“ของอะไรของเจ้า ถึงกับตัดสินใจไม่ได้กัน”

“ข้าว่าท่านไปดูเองเถอะขอรับ หากให้ข้าพูดมันจะไม่เป็นการดี”

“ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ในระหว่างที่รอหลงจู๊อยู่นาน เจี้ยนเอ๋อร์ก็บ่นออกมาเล็กน้อยและ  ไม่เข้าใจท่าทีของเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นทำไมจะต้องทำท่าทางร้อนรนแบบนั้นด้วย พวกเขาก็แค่เอากวางมาขายเองนะทำไมเขาต้องไปตามหลงจู๊ด้วย

“ท่านพ่อขอรับ ตกลงพวกเขาจะซื้อหรือเปล่า ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น เราแค่เอากวางมาขายเองนะ” เจี้ยนเอ๋อร์

“ซื้อสิลูก แต่เสี่ยวเอ้อร์รับซื้อไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ว่าจะให้ราคาเท่าไหร่ จึงต้องไปถามหลงจู๊ก่อนน่ะ” เฟยเทียนตอบลูกอย่างใจเย็น

“ขอรับท่านพ่อ ข้าเข้าใจแล้ว”

ทันใดนั้นหลงจู๊เดินนำหน้าเสี่ยวเอ้อร์ตรงมาที่เกวียนของครอบครัว หยาง พร้อมกับเอ่ยขอโทษที่ทำให้รอและเกิดการล่าช้าเพราะการไม่กล้าตัดสินใจของเสี่ยวเอ้อร์

“ขออภัยที่ให้รอนานนะ ข้าขอโทษแทนเสี่ยวเอ้อร์ของเราด้วย ขอข้าดูของที่เจ้านำมาขายหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะประเมินราคาให้ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ เหลาหมื่นลี้ของเราย่อมไม่กดราคาพวกเจ้าอยู่แล้ว”

“นี่ขอรับ เชิญหลงจู๊ทางนี้เลยขอรับ” เฟยเทียนยกเสื่อไม้ไผ่ออกจากซากกวาง

เมื่อหลงจู๊เห็นสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเขาเองก็มีอาการเช่นเดียวกับ เสี่ยวเอ้อร์ก่อนหน้านี้ เฉิงเอ๋อร์กับเจี้ยนเอ๋อร์มองหลงจู๊ด้วยความสงสัย     เด็กน้อยทั้งสองไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลงจู๊ถึงต้องตกใจด้วย ท่านพ่อกับท่านแม่แค่เอากวางที่ล่าได้มาขายแค่นั้นเอง

“หลงจู๊ขอรับ ท่านหลงจู๊ขอรับ ตกลงท่านจะรับซื้อหรือไม่” เฟยเทียนที่เห็นหลงจู๊กำลังเหม่อลอยเขาจึงถามออกมา

“หะ เอ่อ ซื้อสิซื้อข้ารับซื้อข้าขอโทษด้วยพอดีข้าดีใจมากไปหน่อย นานมากแล้วไม่มีพรานป่าล่ากวางมาขายให้เหลาของเรา เช่นนั้นข้าให้เจ้า  20 ตำลึงทอง เจ้าตกลงขายหรือไม่”

“ขายขอรับ หลงจู๊จะให้ข้ายกไปไว้ที่ใดขอรับ”

“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวข้าให้เด็ก ๆ มายกไปเก็บเอง เจ้ารอสักครู่ข้าจะไปนำเงินมาให้”

“ขอรับ”

หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน 2 คนมายกซากกวางลงจากเกวียน เด็ก ๆ สองคนบนเกวียนก็เริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เห็นกวางจะต้องตกใจทุกคน เพราะเด็กทั้งสองคนไม่รู้ว่ากวางนั้นหายากเพียงใดหลังจากป่าหมอกที่อยู่ดี ๆ ก็มีหมอกหนาทึบมากขึ้นทุกปี และมีนายพราน จบชีวิตในป่าหมอกไปไม่น้อย ไม่ใช่ว่ากวางเป็นสัตว์หายากอะไร เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเข้าป่าหมอกไปล่าต่างหาก มันจึงกลายเป็นของหายากขึ้นมาและมีราคาแพง

“นี่เงินของเจ้า หากครั้งหน้าเจ้าล่าได้อีกอย่าลืมมาขายให้เหลา  หมื่นลี้นะ”

“ขอรับ ขอบคุณขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

เกวียนเทียมวัวเคลื่อนที่ออกไปอย่างช้า ๆ ในตอนนั้นเองหลงจู๊ถึงได้เห็นว่าบนเกวียนมีหมาป่านั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยทั้งสองคน นี่คงไม่ใช่ครอบครัวพรานป่าธรรมดาเสียกระมัง เขาทำงานที่เหลาหมื่นลี้มากว่า 30 ปีเขาไม่เคยได้ยินว่ามีพรานป่าคนไหนสามารถเลี้ยงหมาป่าให้เชื่องได้ ต่อไปเขาคงต้องสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์รับซื้ออาหารปฏิบัติตัวให้ดีกับครอบครัวนี้เสียแล้ว

“เสี่ยวฉุน หากครั้งต่อไปคนพวกนี้นำของมาขายที่นี่เจ้าต้องปฏิบัติกับพวกเขาให้ดีล่ะเข้าใจหรือไม่”

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับหลงจู๊”

“อืม ไม่มีอะไรแล้วกลับไปทำงานของเจ้าต่อเถอะ”

เฟยเทียนเห็นว่าวันนี้เวลาก็ล่วงเลยไปนานมากแล้ว เขาจึงไม่ได้พาลูกเมียเดินเที่ยวในเมืองเขาขับเกวียนมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านป่าหมอกไปทันที ตลอดการเดินทางมีเสียงพูดคุยหยอกล้อของลูกชายทั้งสองคนเฟยเทียนมองลูก ๆ ด้วยสายตารักใคร่

“ท่านแม่ขอรับ วันนี้เราจะทำหมูย่างหรือไม่ขอรับ” เจี้ยนเอ๋อร์

“ทำสิ ทำไมจะไม่ทำล่ะก็ลูกบอกว่าอยากกินไม่ใช่หรือ แล้วลูก   อย่าลืมขอบคุณเสี่ยวหลางเสียด้วยล่ะ เสี่ยวหลางเป็นคนล่าหมูมาได้ ไม่ใช่พ่อกับแม่หรอกนะ” ฉีหลินบอกกับลูกชาย

“จริงหรือขอรับท่านแม่” เฉิงเอ๋อร์

“จริงจ้ะ”

“เสี่ยวหลางขอบคุณเจ้ามากนะ เจ้าดีที่สุดเลย” เจี้ยนเอ๋อร์

“ใช่แล้วเสี่ยวหลาง ข้าเองก็ขอบคุณเจ้าด้วยเช่นกัน เจ้าเก่งมาก   จริง ๆ” เฉิงเอ๋อร์

เวลาผ่านไปเพียง 2 เค่อเท่านั้นพวกเขาก็กลับมาถึงหมู่บ้านป่าหมอก เฟยเทียนปลดวัวออกจากเกวียน และนำวัวไปผูกเอาไว้ที่คอกชั่วคราว หลังจากหาน้ำและหญ้าให้กับวัวแล้ว เขารีบไปช่วยพ่อกับน้องชายทำความสะอาดหมูต่อทันที

“ท่านพ่อมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่ขอรับ”

“ไม่มีอะไรแล้ว แล้วจะจัดการทั้งหมดนี่ยังไง”

“หลินเอ๋อร์บอกว่านางจะรมควันเก็บเอาไว้เป็นเสบียงขอรับ และแบ่งบางส่วนทำหมูย่างหนังกรอบขอรับ”

“เช่นนั้นก็จัดการเถอะ พ่อขอเอาเครื่องในพวกนี้ไปฝังก่อน”

“ท่านพ่อเจ้าคะเดี๋ยวเจ้าค่ะ ท่านพ่อจะเอาเครื่องในไปฝังหรือเจ้าคะ”

“ใช่แล้ว ทำไมหรือกลิ่นเหม็นขนาดนี้ไม่มีผู้ใดเขาเอามากินหรอกนะลูกสะใภ้ เงินที่เจ้าให้มาในมือพ่อยังเหลืออยู่อีกมาก เราไม่ได้ลำบากเช่นเมื่อก่อนแล้วของพวกนี้เจ้าอย่ากินเลยนะ” หยางเทียนฉีมองลูกสะใภ้ด้วยความรู้สึกผิดเพราะความกตัญญูโง่ ๆ ของเขาทำให้ครอบครัวเดือดร้อน   กว่าจะคิดได้ก็เกือบสายไปแล้ว

“มันกินได้เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้ารู้วิธีทำท่านพ่อปล่อยเอาไว้ตรงนี้แหละเจ้าค่ะข้าจะจัดการเอง รับรองว่ามันอร่อยจนพวกท่านต้องกลืนลิ้นตัวเอง   แน่ ๆ”

“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ”

“ท่านพ่อขอรับพรุ่งนี้ท่านพ่อแบ่งเนื้อหมูไปให้ท่านลุงเมิ่งด้วยนะขอรับ ยังมีท่านหมออีกเอาสมุนไพรที่ข้ากับหลินเอ๋อร์เก็บมาวันนี้แบ่งไปให้ท่านหมอสักหน่อย”

“ได้ ๆ พ่อจะจัดการให้”

“ขอรับท่านพ่อ”

จากนั้นฉีหลินก็มีหน้าที่ล้างเครื่องในจนสะอาดและคลุกเกลือเก็บใส่ไหเอาไว้ กระเพาะหมูนางนำมาตุ๋นกับไก่เพื่อเป็นน้ำแกงบำรุงร่างกาย ส่วนไส้นางตั้งใจจะนำมาทำกุนเชียงและใส้ใหญ่นำมาตุ๋นรวมกับหัวหมู

เฟยเทียนก่อไฟเตรียมย่างหมู นางฟางกับเยว่เล่อทำมื้อเย็น วันนี้อาหารบ้านหยางจึงอุดมสมบูรณ์กว่าที่ผ่านมา นอกจากนี้ฉีหลินยังแบ่ง    เนื้อหมูให้พ่อสามีเอาไปให้หัวหน้าหมู่บ้านป่าหมอกด้วยเช่นเดียวกัน

หยางเทียนฉีขี่วัวเอาเนื้อหมูไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นคนบ้านหยางที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ในที่ดินที่ติดกับชายป่าหมอก คราแรกเขาคิดว่าคนบ้านหยางน่าจะมาขอความช่วยเหลือหรือไม่ก็ต้องการจ้างแรงงานไปทำงานในที่ดินของพวกเขา แต่พอหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าคนบ้านหยางนั้นแบ่งเนื้อหมูมาให้หลายชั่งเขาก็ดีใจจนพูดไม่ออก

ถึงแม้ว่าหมู่บ้านป่าหมอกจะล้อมรอบไปด้วยป่าเขาแต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าหมอกซึ่งไม่มีใครกล้าที่จะเสี่ยงตายเข้าไปล่าสัตว์ ชาวบ้านธรรมดาจึงได้แต่เข้าป่าอีกด้านของหมู่บ้านแต่ก็ไม่ได้มีสัตว์ให้ล่ามากมายนัก

หากอยากได้สัตว์ใหญ่จำเป็นจะต้องเข้าป่าลึกและเข้าไปค้างคืน    ในป่าถึงจะไม่ใช่ป่าหมอกแต่จะมีชาวบ้านสักกี่คนที่กล้าเข้าไปพักค้างแรม   ในป่าลึกเพื่อล่าสัตว์กัน

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าแบ่งเนื้อหมูมาให้ขอรับไม่ทราบว่าบ้านท่านทำมื้อเย็นหรือยัง”

“เอ่อ มันมากไปหรือไม่ ข้าจะกล้ารับเอาไว้ได้ยังไง เอามาให้ข้าจะดีหรือ”

“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านอย่าได้คิดมากเลยขอรับ เนื้อหมูเพียงเล็กน้อยแค่นี้ถือว่าข้าได้แสดงความขอบคุณที่ท่านได้ให้ความช่วยเหลือนับตั้งแต่ข้าและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านป่าหมอกแห่งนี้ขอรับ”

“แล้วเจ้าเอามาเสียเยอะขนาดนี้ ครอบครัวของเจ้ามีคนเยอะพอกินหรือไม่”

“พอขอรับพอดีลูกชายข้าโชคดีได้หมูตัวใหญ่ ที่บ้านยังเหลืออีกมากขอรับ ขอท่านอย่าได้เกรงใจ”

“เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้ามากนะ หากมีอะไรให้ข้าช่วยก็สามารถมาบอกกับข้าได้ตลอดเวลา”

“ขอบคุณมากขอรับ เช่นนั้นข้ากลับก่อน”

หลังจากที่หยางเทียนฉีกลับไปได้ไม่นานภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านก็กลับมาจากแปลงนา เมื่อเห็นในมือสามีมีหมูชิ้นใหญ่น่าจะมีน้ำหนักไม่ตำกว่า 5 ชั่ง นางจึงถามสามีด้วยความแปลกใจ

“ท่านพี่ ท่านไปซื้อเนื้อหมูมาจากที่ใดเจ้าคะ ทำไมซื้อมามากมายขนาดนี้”

ที่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านถามเช่นนี้เพราะในมือของนางมือเงินอยู่   ไม่มาก อย่าคิดว่าสามีของนางเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแล้วจะมีฐานะดีกว่าชาวบ้านคนอื่น ถึงจะดีกว่าชาวบ้านแต่ก็ดีกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะชาวบ้านยึดอาชีพทำนาและหาของป่าขาย แต่ตอนนี้ในป่าด้านนี้แทบจะไม่มีอะไรให้หาแล้ว จะเหลือก็แต่ป่าหมอกเท่านั้น แล้วใครจะกล้าเข้าไปกัน

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ หมูนี่ข้าไม่ได้ซื้อหรอก เป็นบ้านหยางเอามาให้น่ะ”

“บ้านหยางหรือเจ้าคะ ใช่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ติดกับป่าหมอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ใช่แล้วล่ะ เห็นว่าลูกชายบังเอิญล่าได้หมูตัวใหญ่ เลยแบ่งมาขอบคุณที่ข้าช่วยเหลือพวกเขาในหลายวันที่ผ่านมา”

“ดู ๆ แล้วพวกเขาก็เป็นคนดีไม่น้อย สะใภ้บ้านเฉียนเล่าว่านางมีญาติอยู่ที่หมู่บ้านเดิมของพวกเขา เห็นว่าที่ต้องย้ายออกมาเพราะโดนพี่ชายกับพี่สะใภ้รังแกลูกเมียและเอารัดเอาเปรียบพวกเขาน่ะเจ้าค่ะ ทำงานในนา  งก ๆ กินก็ไม่อิ่มป่วยไม่ยอมรักษา โชคยังดีที่ลูกสะใภ้บ้านหยางเข้าป่าและได้สมุนไพรราคาแพงมา ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่มีเงินสร้างบ้านและซื้อที่ดินเพิ่มหรอกเจ้าค่ะ เห็นว่าบ้านใหญ่เลวร้ายขนาดยึดเอาสินเดิมพวกนางไว้ด้วยนะเจ้าคะ”

“เลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ ขนาดพี่น้องกันแท้ ๆ ยังทำได้ขนาดนี้  ใจคนนี่ช่างยากแก่การคาดเดาจริง ๆ”

“ใช่เจ้าค่ะ สะใภ้บ้านเฉียนยังเล่าว่า สองสะใภ้บ้านใหญ่แย่งโสม    ที่สะใภ้บ้านหยางขุดได้บนเขาและผลักนางตกร่องเขาอาการเป็นตายเท่ากัน แต่นับว่าสวรรค์ยังเมตตาหลังจากนางฟื้นขึ้นมา นางก็กลายเป็นคนกล้าขึ้นมาทันที นางไล่ทุบตีคนบ้านใหญ่และเอาคืนทุกคนจากนั้นก็ทวงสินเดิมและแยกบ้านย้ายออกมาเจ้าค่ะ”

“นางคงหมดความอดทนเข้าจริง ๆ ใครจะยอมถูกผู้อื่นรังแกอยู่ตลอดไปกันล่ะ”

“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าไปทำมื้อเย็นก่อนนะเจ้าคะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป